เรื่องราวฮาฮาจากสถานการณ์ที่พูดโดยไม่คิด

ต้องบอกว่าเมื่อก่อนพวกเรานั้นอาจจะได้พบเจอพูดคุยกับเพื่อนหรือคนรู้จักกันได้ก็ต่อเมื่อพวกเราได้ออกจากบ้านแล้วไปพบกันในสถานที่นัดหมายหรืออาจจะเป็นที่ทำงาน หรือโรงเรียนหรือที่เที่ยวเท่านั้นเอง ซึ่งแค่นั้นพวกเราหลายหลายคนก็ยังคงมีบางครั้งที่เผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปแล้วทำให้ต้องเกิดการขัดใจกันระหว่างเพื่อนฝูงหรือคนที่เรารู้จัก แล้วยิ่งสมัยนี้กลายเป็นว่าพวกเราสามารถทั้งคุยต่อหน้าหรือแม้กระทั้งโทรหากันได้จากแทบจะทุกที่ทุกเวลาเลยก็ว่าได้ หรือบางครั้งเราโทรไปไม่เจอเราก็ยังสามารถฝากข้อความบางอย่างไปถึงคนอื่นๆได้อย่างง่ายๆเลย ดังนั้นพวกเราก็เลยมีช่วงเวลาที่ทำให้เราสามารถทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากการพูดโดยอาจจะคิดไม่ถี่ถ้วนมากขึ้นไปอีก พวกเราชาวสัพเพเหระก็ได้ยินเรื่องราวที่เกิดจากการพูดโดยไม่ทันคิดหรืออาจจะคิดไม่ทันจนเกิดเรื่องราวฮาฮาเหล่านี้ขึ้น

เราอยากให้เพื่อนเพื่อนได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้สักหน่อยก็เพราะว่าหากคุณได้ยินได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้แล้วก็อาจจะคิดได้ว่าการพูดโดยไม่คิดหรืออาจจะคิดน้อยไปนั้นอาจจะนำพาเรื่องราวที่เราคาดไม่ถึงมาให้เราได้เสมอนั้นเอง

คนข้างข้างนี้แหละ
เราเป็นคนที่ชอบให้โอกาสกับร้านค้าต่าง ๆ อย่างเช่นร้านอาหารหรือร้านที่เปิดใหม่เราจะลองใช้บริการของร้านนั้นอย่างน้อย 2-3 ครั้งโดยที่ถึงแม้ว่าในครั้งแรกมันจะให้บริการเราแบบไม่ถูกใจเท่าไหร่นัก ที่เรามีความคิดแบบนั้นก็เพราะว่าการเปิดร้านใหม่นั้นมันอาจจะไม่ลงตัวและเราก็ไม่อยากตัดสินอะไรจากการพบหรือใช้งานเพียงครั้งเดียว

แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเราไปร้านทำผมที่เพิ่งเปิดเป็นครั้งที่สอง เพื่อแก้ไขสีผมที่เพิ่งทำมาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่ในตอนที่ช่างกำลังเข้ามาดูผมของเราก็พูดติ ทั้งสีผมและคุณภาพของการทำผม ก่อนที่จะถามเราว่าทำมาจากร้านไหน ซึ่งเราก็ไม่ได้ตอบเพียงแค่ยิ้มอย่างสุภาพและบอกปัดไปว่าเป็นร้านแถวบ้าน “ทั้งที่จริงแล้วมันก็คือร้านนี้แหละเพียงแต่ช่างคนละคนเท่านั้นเอง” ทำให้เราคิดได้เลยว่าเราไม่ควรติผลงานคนอื่น

ผมคือคนคิดเอง
เราเป็นคุณครูอยู่ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งซึ่งในปีนี้พวกเราต้องทำตารางการเรียนการสอนใหม่ให้สอดคล้องกับการเรียนแบบออนไลน์และการเรียนแบบที่ต้องมาโรงเรียน ซึ่งในระหว่างที่เรากำลังนำเสนอแผนงานทั้งหมด คุณครูท่านหนึ่งก็ยกมือและพยายามแย้งเรื่องการจัดตารางเวลาที่เรากำลังนำเสนอโดยติในหลายหลายจุดถึงความไม่เหมาะสม โดยเราก็นั่งฟังอยู่เงียบๆ สักพักเมื่อเค้าพูดจบก็เอ๋ยขึ้นมาว่า “ถ้าจัดตารางแบบนี้อย่าเรียกว่าจัดดีว่า” แล้วก็นั่งลง
ทุกคนเงียบสนิทรวมถึงตัวผมด้วยก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “ผมขอโทษที่จัดตารางแบบนี้ออกมา” แล้วครูคนนั้นก็นั่งหน้าซีดไปเลยเพราะเสียงนั้นเป็นเสียงของผู้อำนวยการโรงเรียน

ซ่อมได้
พ่อของเราเปิดอู่รับซ่อมบำรุงรถยนต์ในเมืองซึ่งต้องบอกว่าร้านของเราถือว่าเป็นร้านที่ได้รับความไว้ว่างใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ทำให้เราอยากสืบทอดกิจการของทางบ้านและเราก็ทำได้หลังจากเครื่องจบสาขาเครื่องกล พร้อมทั้งประสบการณ์ทำงานที่ช่วยงานพ่อของเรามาตั้งแต่เด็ก ทำให้เรารับช่วงต่อเป็นช่างใหญ่ของอู่ของครอบครัวเรา มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกค้าโทรมาให้ออกไปช่วยดูรถที่เสียอยู่ไม่ไกลจากร้านของเรา แล้วพอเราไปถึงพอเห็นว่าเราเป็นผู้หญิงเค้าก็บอกขึ้นมาว่า “คุณจะทำได้แน่เหรอ” และหลังจากนั้นแค่ 15 นาทีเค้าก็ต้องกล่าวขอโทษเราเพราะแค่เราตรวจดูไม่นานและเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าบางส่วนรถก็กลับมาใช้งานได้ (ความรู้ความสามารถไม่ได้จำกัดอยู่กับว่าเค้าเป็นยังไงหรอกนะ)

ใช้เป็นเหรอ
เราทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์และเราก็ชอบงานนี้มากมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะอายุมากขึ้นแต่ก็ยังรับทำงานพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ อยู่เสมอเพราะมันสนุกมากมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งเราไปนั่งรอเพื่อนของเราอยู่ในร้านอาหาร และเด็กหลายคนที่โต๊ะข้างๆของเราก็บังเอิญกำลังอ่านคู่มือและพยายามใช้งานโปรแกรมที่เราเป็นคนเขียนขึ้น พอเห็นแบบนั้นเราก็เลยทักทายเค้าอย่างสุภาพและเสนอตัวว่าจะช่วยตอบคำถามเรื่องการใช้งานโปรแกรมนั้นให้ ซึ่งพวกเค้าก็ซุบซิบกันเสียงดังไปหน่อยว่า “ลุงเค้าจะใช้เป็นเหรอ” ซึ่งเราก็ทำเป็นไม่ได้ยินและเริ่มอธิบายการทำงานต่าง ๆ ของโปรแกรมและสาธิตการทำงานเบื้องต้น หลังจากตอบคำถามที่จำเป็นแล้วเราก็ขอตัวออกไปเพราะเพื่อนของเรามาพอดี โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่ได้ยินเสียงเด็กๆคุยกันว่า “ลุงเค้าเทพชัดๆ ตอนแรกใครบอกว่าลุงใช้ไม่เป็นวะ”

เป็นเครื่องเราเสร็จไปแล้ว
เพื่อนของเราทำงานในบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ชื่อดังแห่งหนึ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เราเป็นพนักงานธนาคาร มีลูกค้าคนหนึ่งบ่นขึ้นมาระหว่างที่รอเราทำงานอยู่ว่า “คอมของคุณมันช้าเกินไป” ถ้าใช้ AAA (นามสมมุติ) คงเสร็จไปนานแล้ว แล้วระหว่างที่เราทำงานอยู่เค้าก็เล่าถึงข้อดีของคอมพิวเตอร์ของบริษัทของเค้าต่างต่างนานาและยังบอกอีกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานของธนาคาร หลังจากฟังอยู่นานเราก็เลยค่อยๆเลื่อนคอมเครื่องนั้นให้เธอดูและมันก็คือคอมจาก AAA นั้นแหละ หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบสงบลง

ผมเข้าใจ
เราต้องเดินทางมาทำงานที่ต่างประเทศหลายเดือนเพราะทางบริษัทกำลังจะเปิดสาขาใหม่ และในวันหนึ่งระหว่างที่เรากำลังนั่งรถโดยสารสาธารณะ เราก็พบกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกำลังซุบซิบกล่าวชมรูปร่างหน้าตา(เค้าชมเราอยู่)ของเราด้วยภาษาท้องถิ่น ซึ่งเราก็ฟังออกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรแต่พอพวกเธอเริ่มพูดเสียงดังขึ้นทำให้คนรอบเริ่มหันมามองเราและเราก็ใกล้จะถึงที่หมายแล้ว เราก็เลยขยับเข้าไปใกล้แล้วพูดด้วยภาษาเดียวกับเค้าว่า “ขอบคุณที่ชมผมนะครับ” ก่อนที่จะปล่อยให้นักเรียนกลุ่มนั้นทำท่าเขินกันไป

นี้แหละพวกเราชาวสัพเพเหระจึงอยากจะบอกให้เพื่อนเพื่อนฟังอีกรอบว่าตอนนี้เวลาที่เราคิดหรือพูดอะไรเราก็ต่างจะต้องคิดให้รอบคอบสักหน่อยเพราะหลังจากเราพูดออกไปแล้วคำพูดเหล่านั้นมันจะกลายเป็นนายของเราไปซะแล้วนั้นเอง ยังไงก็ตามเพื่อนเพื่อนก็อย่าลืมละว่าคนใกล้ตัวเรานี้แหละที่ควรจะต้องดูแลและให้ความรู้สึกดีดีให้มากที่สุดนะ
เรียบเรียงโดย สัพเพเหระ

Back To Top