ต้องบอกว่าพวกเราต่างมีความคิดและแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปซึ่งก็อาจจะเหมือนกันได้หรือบางคนก็อาจจะมีอะไรที่ไม่ธรรมดาซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ที่เราได้พบเจอมานั้นเอง ดังนั้นเราจึงอาจจะได้ยินว่าผู้ใหญ่หรือใครหลายหลายคนไม่ค่อยให้ความสนใจความคิดของเด็กๆสักเท่าไหร่นัก นั้นก็เพราะรู้สึกและคิดไปว่าเด็กนั้นขาดประสบการณ์นั้นเอง แต่เราเองก็อยากจะบอกว่าอันที่จริงแล้ววิธีที่เด็กมองโลกและมองสิ่งต่าง ๆ นั้นก็แตกต่างไปจากผู้ใหญ่ ด้วยซึ่งหลายหลายครั้งที่เราได้ยินได้ฟังคำพูดดีดีที่ออกมาจากความคิดของเด็กๆนั้นเอง
และวันนี้พวกเราสัพเพเหระก็ได้รวบรวมเรื่องราวที่มาจากเด็กๆเหล่านี้เพื่อให้เพื่อนเพื่อนได้อ่านกันนั้นเอง
ทำหน้านิ่งเข้าไว้
วันนี้ลูกสาวของเราเพิ่งเริ่มขายน้ำมะนาวเป็นวันแรกแต่พอผ่านไปได้ไม่นาน เราก็แวะไปดูและต้องตกใจเพราะได้ตั้งสามพันแล้วภายในเวลาไม่นานซึ่งเราสงสัยมาก และพอนั่งรอชมการขายเราก็เข้าใจเลยเพราะถ้าลูกค้าจ่ายเงินเป็นแบงค์ร้อย ลูกฉันจะพูดอย่างมั่นใจว่า “ขอบคุณสำหรับทิปนะคะ” และไม่ทอนให้พวกเขาด้วยการทำท่านิ่งๆ แล้วลูกค้าบางคนก็ขอน้ำมะนาวเพิ่มหรือบางคนก็ต้องยอมใจให้เป็นทิปจริงๆ แต่แบบนี้จะมีคนกลับมาไหมละลูก
สอนหน่อย
เราเพิ่งเข้ามาทำงานที่โรงเรียนประถมแห่งนี้ได้ไม่นาน และนอกจากเป็นครูแล้วเราก็ยังรับผิดชอบชมรมการแสดงหลังเลิกเรียนสำหรับเด็กประถมอีกด้วย ซึ่งวันแรกที่เปิดชมรมก็มีนักเรียน ป.1 มาขอให้เราสอนวิธีแสดงให้ดูเหมือนว่ากำลังมีความตั้งใจจริงในการทำอะไรสักอย่าง และเมื่อเราถามเหตุผลก็ได้คำตอบว่าเค้าต้องการเพิ่มค่าขนมแต่พ่อของเค้าบอกว่าเค้าต้องโตกว่านี้และต้องหัดทำอะไรจริงจังถึงจะเพิ่มให้ (โถ่ลูกเอย…เพื่อค่าขนมทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ)
ก็พอดีนะ
เมื่อฉันบอกลูกชายวัยห้าขวบว่าเขาใส่รองเท้าผิดคู่ และเขามองดูเท้าของเขา แล้วตอบฉันว่า ก็พอดีนะและยิ่งกว่านั้น ถึงมันจะเป็นรองเท้าคนละคู่แต่ก็ดูสวยดีและมันก็ใส่เดินได้ปกตินะพ่อไม่ต้องกังวลไปหรอก
สุดท้ายคือฉันเอง
ลูกสาวสองขวบ: พยายามบอกเราอย่างหนักแน่นว่าจะช่วยถือแพ็คผ้าอ้อมซึ่งหนักเกินไปสำหรับเธอ(ในความคิดเรา)
เรา: ได้เลยและหลังจากนั้น 5 นาทีในที่สุดเธอก็ได้ถือมันและเราต้องอุ้มเธอไวอีก
คนที่ผิดคงเป็นเราสินะ
น้า: ไหนหลานคนสวยบอกน้าหน่อยสิว่าเวลาที่เราทำผิดต้องพูดว่าอย่างไร
หลานวัยสี่ขวบ: ฉันไม่ได้ทำผิด
น้า : โอเคเลยเก่งมากกกก
บทเรียนนอกตำรา
หลายบ้านน่าจะเป็นเหมือนกันนั้นก็คือเราจะคุยกับลูกในตอนเย็นเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียนเสมอเพื่อเป็นการสร้างความสนิทสนมและความเชื่อใจและมันก็ทำให้เรารู้ว่าลูกของเราเป็นอย่างไรบ้างอย่างหลายวันก่อนที่เราเพิ่งคุยกับลูกของเราก็ทำให้ได้รู้ว่าการเรียนไม่ต้องมีอยู่ในตำราก็ได้
เรา: เปิดสมุดจดและพบว่ามีภาพวาดคล้ายมังกรอยู่เต็มไปหมด ก็เลยถามไปว่าวันนี้ครูสอนเรื่องมังกรเหรอจ้า
ลูก: คนอื่นเรียนอะไรไม่รู้ แต่หนูเรียนรู้เกี่ยวกับมังกรทั้งวันเลย
เรา:โอเคเลยเข้าใจละว่า..ลูกเราคงใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากไปหน่อยซะแล้ว
ทุกปัญหามีทางออกเสมอ
ลูกวัย 4ขวบ: แม่่ๆๆ เราเลี้ยงแมวได้ไหม?
ฉัน: แม่แพ้ขนแมว พวกเราอยู่บ้านเดียวกันไม่ได้และจะให้น้องแมวไปอยู่นอกบ้านก็ไม่ดีใช่ไหมละ
ลูกสาว 4 ขวบ: อืม….งั้นแม่ก็นอนนอกบ้านสิ
ก็ไม่เท่าไหร่นะ
เมื่อลูกสาววัยสามขวบของฉันโตขึ้นอยากเป็นนักบินอวกาศ และฉันบอกว่า เธอจะต้องตั้งใจเรียนที่มหาวิทยาลัยเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และจะต้องผ่านการทดสอบทางร่างกาย เธอมีท่าทีไม่สนใจและตอบว่า แค่สี่อย่างนี้เองหรอ (แต่หลังจากนั้นเค้าก็ไม่พูกเรื่องนี้อีกเลย)
การทดสอบว่านางฟ้ามีจริง
เราเล่านิทานให้เด็กฟังและใช้มันสอนเรื่องราวต่าง ๆ ดังนั้นเราจะบอกกับพวดเค้าเสมอว่าเหล่านางฟ้าและคนที่ทำความดีเหล่านี้มีอยู่จริง ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้มันก็ดีนะจนเค้าเริ่มโตขึ้นและวันหนึ่งเค้าก็ทำท่าทางจริงจังและบอกว่าวันนี้เราต้องพิสูจน์ว่านางฟ้ามีจริงให้ได้ ซึ่งเค้าบอกว่าเค้าจะเอาฟันที่หลุดออกมานี้แหละมาทดสอบว่านางฟ้าจะมารับฟันไปแล้วเปลี่ยนมันเป็นของขวัญที่เราอยากได้ไหม และวันถัดมามีเงินอยู่ใต้หมอน ซึ่งเราเห็นเค้าเอาไปซื้อของที่อยากได้อย่างมีความสุขและไม่กี่วันต่อมาเค้าก็กลับมาพูดเรื่องการพิสูจน์นางฟ้าอีก (หรือมันจะเป็นแผนซ้อนแผนกันแน่นะ)