เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรานั้นส่วนใหญ่ก็จะเกิดจากการที่พวกเราเลือกทำหรือตั้งใจไว้ที่จะทำมันในแต่ละวันหรือเรื่องราวต่าง ๆ จากคนรอบรอบตัวเราก็มีมากมายแต่ในอีกด้านหนึ่งพวกเราเองต่างก็เคยเผชิญเรื่องราวบางเรื่องที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้ที่มาที่ไปหรือบางครั้งก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรอย่างเช่นบางคนบอกได้ถึงเรื่องราวของสถานที่บางแห่งในอดีตที่ตัวผู้เล่าเองไม่เคยแม้แต่จะเดินทางไปถึง หรือบ้างครั้งกลับผู้ถึงผู้คนที่จากไปก่อนที่เขาจะเกิดขึ้นมาได้อย่างถูกต้อง
ใช่แล้ววันนี้พวกเราชาวสัพเพเหระได้ลองรวบรวมเรื่องราวที่น่าไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทั่วไปแต่มันก็เกิดขึ้นและถูกเล่าต่อต่อกันมาซึ่งบางเรื่องเพื่อนเพื่อนของเราบางคนก็ถึงกับคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรเรามาลองฟังกันเลยดีกว่าเนอะ
เรื่องแรกคนดีและน่ารัก
แม่เล่าให้เราฟังว่าตอนที่เรายังเล็กมากระหว่างที่เรากำลังนั่งเล่นอยู่กับคุณแม่ที่ห้องนั่งเล่นซึ่งพวกเรากำลังสนุกกับการถามโน้นนี่ตามประสาเด็กๆและจู่ๆเราก็หันไปที่หน้าต่างแล้วพูดออกมาว่า “แม่ดีที่สุดเหมือนที่คุณบอกจริงๆ” หลังจากนั้นแม่ก็ถามว่าเราคุยอยู่กับใครซึ่งคำตอบตอนนั้นก็ทำให้แม่นิ่งไปเลย โดยแม่บอกว่าเราที่ตอนนั้นเป็นเด็กน้อยอธิบายว่ามีคุณยายที่ตัวสูงๆทำผมม้วนสวมแว่นตาท่าทางใจดีค่อยมาคุยหรือนั่งมองอยู่ในห้องและบอกเสมอๆว่า “แม่ของหนูเป็นคนดีและน่ารักมากมาก หนูก็ต้องเป็นแบบนั้นนะ” ซึ่งตามที่เราพูดออกไปนั้นคือลักษณะของคุณยาย(แม่ของแม่เราอีกที) ซึ่งท่านจากไปก่อนที่เราจะเกิดไม่นานและเราในตอนนั้นก็ไม่เคยเห็นภาพถ่ายของท่านด้วย
เรื่องที่สองลาไปก่อน
ตอนที่เราเป็นเด็กน้อยซึ่งเรายังจำได้ดีกว่าคุณแม่มักจะพาเราไปเยี่ยมคุณยาย ที่บ้านของท่านเสมอๆ และอีกสิ่งหนึ่งก็คือเพื่อนบ้านที่น่ารักคุณยายซึ่งเป็นคุณตาท่าทางใจดีที่มักจะนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกที่ระเบียงหน้าบ้านที่หันหน้าเข้าทะเล และทุกครั้งที่เราจะลาคุณยายกลับบ้านเราและแม่ก็จะหันไปโบกมือลาให้กับคุณตาคนนั้นด้วยความเป็นมิตร และครั้งนี้ก็เช่นกันเราบอกลาคุณยายและตอนเดินออกมาพอเรามองเห็นคุณตาที่เก้าอี้เราก็โบกมือลาเหมือนทุกครั้งแต่ที่แปลกไปก็คือครั้งนี้คุณตาโบกมือลาแล้วก็ลุกเดินออกไปซึ่งเราก็ไม่ได้สังเกตว่าเดินไปทางไหน แต่แม่ของเรากลับถามเราว่า “โบกมือให้ใครกัน” ซึ่งพอเราบอกว่าโบกมือให้คุณตาข้างบ้านแม่ก็ทำหน้าแปลกๆก่อนที่จะรีบพาเรานั่งรถกลับบ้าน และเรามารู้ที่หลังว่าอันที่จริงแล้วคุณตาข้างบ้านได้จากไปแล้วหลายวันก่อนที่เราจะไปเยี่ยมคุณยายในครั้งนั้น ซึ่งเรายังจำได้ดีกว่าคนที่โบกมือกลับและลุกเดินหายไปคือคุณตาแน่ๆ แต่มันเป็นไปได้ไงนะเรื่องที่สามพี่น้องสื่อถึงกันได้
เรื่องมีอยู่ว่าพวกเราเป็นสองสาวพี่น้องที่สนิทกันมากมาก ซึ่งตอนเด็กๆที่เรายังอยู่บ้านหลังเดียวกันพวกเราจะต้องมานั่งคุยเรื่องราวต่าง ๆ ที่โรงเรียนให้กันฟังทุกวันเลยและวันหยุดต่าง ๆ เราก็จะออกไปหาที่ท่องเที่ยวใกล้ๆบ้านตามประสาเด็กๆนั้นเองแต่พอโตขึ้นช่วงที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยทำให้เราต้องแยกกันเพราะสาขาที่เราเลือกนั้นไม่ตรงกันทำให้เราห่างกันและเมื่อเราเรียนจบได้แยกกันไปทำงานคนละเมืองอีกก็ทำให้เราแทบจะไม่ค่อยได้คุยกันเลย จนกระทั้งวันหนึ่งระหว่างที่เรากำลังนั่งทานอาหารอยู่กับแฟนของเราจู่ๆเราก็หันหน้าไปหาแฟนของเราและพูดขึ้นมาว่าพี่สาวเรากำลังจะหมั้นแล้วซึ่งพูดจบแล้วเราก็รู้สึกงงๆ เพราะพวกเราพี่น้องไม่ได้คุยกันมาหนึ่งเดือนแล้วแต่พอเย็นวันนั้นพี่สาวของเราก็โทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่าวันนี้แฟนของเธอขอเธอแต่งงานและพวกเขาจะจัดงานหมั้นกันไว้ก่อนในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ซึ่งตอนที่เขาขอแต่งงานก็คือตอนที่เรากำลังนั่งทานอาหารอยู่นั้นเอง นี้จะเรียกว่าสายสัมพันธ์ของพี่น้องได้ไหมนะ
เรื่องที่สี่ภาพถ่าย
มันเป็นเรื่องที่คาใจเรามาตั้งแต่ตอนที่เรียนถ่ายภาพใหม่ๆ ตอนนั้นเราพักอยู่ที่พอพักคนเดียวซึ่งปรกติก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นแต่ในช่วงหยุดพักฤดูร้อนหลังจากที่เรากลับมาจากการออกทริปไปฝึกถ่ายภาพซึ่งคืนนั้นมันก็ดึกมากเรากลับมาถึงห้องก็เหนื่อยมากมากเลยวางอุปกรณ์ทั้งหมดไว้ที่ปลายเตียงและหลับไป แต่พอวันรุ่งขึ้นเราตอนที่เราตื่นขึ้นมากลับพบว่ากล้องของเรามันอยู่นอกกระเป๋าโดยที่มันไปวางอยู่บนโซฟาใกล้ปลายเตียงของเรานั้นเอง ซึ่งเราจำไม่ได้เลยว่าเราเอากล้องออกมาหรือเปล่าแต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือหลังจากเราตรวจสอบภาพที่ถ่ายเมื่อวานนี้เรากลับพบว่าภาพถ่ายหลายสิบใบล่าสุดกลายเป็นภาพของเราที่กำลังหลับอยู่บนเตียงและมันคือภาพที่ถูกถ่ายจากด้านหลังโซฟาเมื่อคืนนี้ และหลังจากนั้นเราก็รีบย้ายออกจากห้องนั้นทันทีโดยที่ทุกวันนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าภาพเหล่านั้นถูกถ่ายได้อย่างไร แต่เรามาทราบที่หลังว่าเจ้าของเก่าที่เคยอยู่ห้องนั้นก็เป็นช่างภาพแต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาคนนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว
เรื่องที่ห้าเสียงใคร
ตอนที่เราเพิ่งเริ่มทำงานได้ใหม่ ๆ เราและเพื่อนอีกห้าคนรวมกลุ่มกันเพื่อเปิดบริษัทเล็ก ๆ ซึ่งงานของเราก็เป็นไปได้ด้วยดีจนกระทั้งพวกเราต้องมองหาพื้นที่สำหรับเปิดบริษัทของเรา และระหว่างที่พวกเราเราตระเวนไปเพื่อดูสถานที่ต่าง ๆ ก็มีตึกแห่งหนึ่งซึ่งมันกว้างและถูกมากมากเมื่อเทียบกับที่อื่นแล้ว ในระหว่างที่เรากำลังเดินสำรวจห้องต่างๆ เราก็บังเอิญเห็นแมวตัวหนึ่งแอบเดินเข้ามาซึ่งถ้าพวกเราออกไปมันอาจจะติดอยู่ในตึกนี้ได้เราเลยเดินตามมันไปและระหว่างที่เราเข้าไปหาในห้องห้องหนึ่งซึ่งมีแค่แสงไฟสลัวๆ ส่องผ่านเข้ามาเราก็ได้ยินเสียง “เหมียวๆ” เป็นเสียงผู้ชายเบาๆที่ข้างหูซึ่งพอหันมองไปรอบๆ เราก็ไม่เห็นใครเลยแต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้เรารีบวิ่งกลับไปหาเพื่อนๆ คนอื่นๆ และท้ายที่สุดเราก็ไม่เช่าตึกหลังนั้น
เรื่องที่หกเวลา
พวกเราสองคนสามีภรรยาเลือกที่ทำงานใกล้ๆกันเพื่อที่จะได้เดินทางไปและกลับบ้านพร้อมๆ กันซึ่งแน่นอนว่าพวกเราเลือกสถานที่ที่เราสามารถเดินทางได้สะดวกด้วยทางพิเศษซึ่งปรกติหลังจากที่เราขับขึ้นมาบนทางพิเศษแล้วเราจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงในการเดินทาง แต่วันหนึ่งระหว่างที่เรากลับบ้านซึ่งตอนที่เราออกเดินทางนั้นเป็นเวลาบ่ายสองโมงเท่านั้นแต่กลายเป็นว่าวันนั้นพวกเรามาถึงบ้านก็คำ่แล้วซึ่งพอมองดูเวลากลายเป็นว่ามันเป็นเวลาหกโมงแล้วซึ่งนั้นหมายความว่าพวกเราใช้เวลาเดินทางถึงสี่ชั่วโมงบนเส้นทางเดิมแต่พวกเราทั้งคู่กลับจำอะไรไม่ได้เลยและพอลองดูที่ใบเสร็จก่อนจะขึ้นทางพิเศษมันก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงแน่นอน แล้วเวลาที่หายไปของเราถึงสี่ชั่วโมงมันคืออะไรและมันหายไปไหนได้อย่างไรมาถึงวันนี้เราก็ยังไม่ทราบถึงเวลาที่หายไป
แล้วเพื่อนเพื่อนละอ่านแล้วคิดเห็นแบบไหนกันบ้างแล้วคุณเองเคยเจอเรื่องราวแบบที่อธิบายไม่ได้เหล่านี้บ้างหรือเปล่าถ้ามีก็ส่งมาให้เพื่อนเพื่อนคนอื่นๆ ในเพจของเราได้ชมกันด้วยสิ
เรียบเรียงโดย สัพเพเหระ