เริ่มต้นวันแรกของสัปดาห์กับกลางเดือนพฤศจิกายนเข้าไปแล้วมันช่างผ่านมาอย่างรวดเร็ว และนี้ก็คงเป็นอีกปีที่เรียกได้ว่าช่างสมบุกสมบันซึ่งเราต้องขอปรบมือดังๆให้กับเพื่อนเพื่อนของเราทั้งหลายที่ผ่านกันมาได้จนถึงปลายปีและอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะก้าวเข้าสู่ปีใหม่แล้วซึ่งเราก็อยากจะให้เป็นปีที่ดีกว่าปีนี้ทีเถอะนะ และก่อนที่จะผ่านไปถึงตอนนั้นวันนี้พวกเราที่เพลินเพลินก็อยากจะแบ่งปันเรื่องราวดีดีของเหล่าเจ้านายที่เรียกได้ว่าได้ใจของลูกน้องไปแบบเต็มๆ โดยที่มีรูปแบบในการทำงานที่แตกต่างกันออกไปตามสไตล์และรูปแบบงานของแต่ละคน แต่สิ่งที่เหมือนกันของเจ้านายเหล่านี้นั้นก็คือเขาให้มากกว่าค่าแรงแต่ยังมอบให้ทั้งประสบการณ์การทำงานที่ดีและยังสอนถึงอีกหลายหลายเรื่องเพื่อให้พวกเรานั้นก้าวเดินและเติบโตต่อไปด้วยกัน
พวกเราที่เพลินเพลินได้อ่านเรื่องราวจากเพื่อนเพื่อนที่ส่งต่อกันในโลกออนไลน์ซึ่งบอกเล่าถึงสิ่งดีดีที่เกิดขึ้นจากการทำงานซึ่งพอเราได้อ่านแล้วก็อยากที่จะได้รับโอกาสที่จะได้เจอเจ้านายหรือหัวหน้าแบบนี้บ้าง เพื่อนเพื่อนก็ลองมาอ่านกันดูหน่อยแล้วกันว่าจะน่าสนใจมากแค่ไหน
เรื่องแรกต้องช่วยกัน
เราอยากจะเล่าเรื่องเจ้าของร้านอาหารที่เราทำงานด้วยให้เพื่อนเพื่อนฟัง เราจะเรียกเข้าว่าคุณเอก็แล้วกัน ตั้งแต่เราเข้ามาทำงานเราก็เห็นคุณเอ ทำงานแทบจะทุกอย่างนอกจากนั้นแล้วทัศนคติของเขาที่มีต่อพนักงานคนอื่น ๆ ก็ยังเยี่ยมยอดมากมากอีกด้วยเพราะหากมีคนมาสาย เขาจะไม่เสียงดังแต่จะขอให้พนักงานคนนั้นลองปรับเปลี่ยนเวลาตื่นนอนหรือทำบางอย่างเพื่อให้มาได้ตรงต่อเวลา เมื่อพ่อครัวมีงานมาก เขาสามารถเข้ามาในครัวและช่วยได้ หรือแม้กระทั้งวันที่มีลูกค้าเข้ามาที่ร้านพร้อมกันเขายังเคยออกไปช่วยจัดคิวรถเข้าออกซึ่งคำพูดที่พวกเรามักจะได้ยินเสมอจากเขาก็คือ “ร้านของเราจะต้องดีได้แน่ๆแค่เราต้องช่วยกัน” และมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
เรื่องที่สองทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้
ผมไปสัมภาษณ์งานเป็นโปรแกรมเมอร์ที่บริษัทแห่งหนึ่ง
HR:(เดินเข้ามาแจ้งระเบียบเล็กน้อยว่า) ที่นี่มีกฎระเบียบการแต่งกายที่เข้มงวดมาก ผู้ชายต้องใส่สูทผูกไท เข้างานตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 18.00 น. และห้ามมาสาย แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้างานของคุณด้วย
ผมคิดทันทีว่า “โอเค ผมไม่เอาที่นี่แล้ว” หลังจากนั้น เจ้านายในอนาคตของผมก็เดินเข้ามาในห้องโดยเขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ตใส่รองเท้าผ้าใบ มีหนวดเครารุงรัง หลังจากการคุยกันเรื่องเนื้อหาของงานแล้ว ผมจึงถามเขาเกี่ยวกับการแต่งกายและตารางงาน เขาตอบกลับมาแค่ว่า “มันไม่สำคัญหรอกตราบใดที่เสื้อของคุณไม่ได้ขาดเป็นรู แล้วเวลาเข้างานก็ไม่สำคัญ ตราบเท่าที่คุณทำงานส่งทันตามเวลา” และทุกวันนี้เรายังคงทำงานอยู่ที่นั้นโดยที่ไม่เคยใส่สูทผูกไทเลย
เรื่องที่สามบ้านที่ว่างอยู่
เราทำงานที่ฟาร์มเล็ก ๆ แห่งหนึ่งมันก็อยู่ห่างจากบ้านเช่าของเราพอสมควรซึ่งในบางวันก็จะต้องทำงานจนดึก ดังนั้นภรรยาของเราจะต้องรอคอยเราอยู่ที่บ้านคนเดียวจนค่ำ ต่อมาภรรยาของเราท้องเราจึงต้องไปบอกหัวหน้าว่าเราไม่สามารถอยู่ทำงานจนดึกได้เหมือนแต่ก่อนแล้วซึ่งเราก็เตรียมใจมาแล้วว่าอาจจะโดนหัวหน้าตำหนิ แต่หัวหน้ากลับยิ้มและบอกยินดีกับเราอีกทั้งยังบอกเราว่าเขามีบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ที่ทำงานมากขึ้นแต่มันออกจะเก่าไปสักหน่อยให้เราลองไปดู ถ้าพออยู่ได้ก็จะให้ย้ายมาอยู่ชั่วคราวในระหว่างที่ต้องดูแลภรรยาและพอทุกอย่างลงตัวแล้วค่อยย้ายกลับไปที่เดิม
เรื่องที่สามกล่องวิเศษ
เราอยากจะขอเล่าเรื่องราวของที่ทำงานของเราที่มีวิธีการที่ง่ายแต่ได้ผลในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในบริษัทนั้นก็คือ ที่บริษัทของเราจะมีกระดานที่จะคอยแจ้งข่าวสารต่าง ๆ ให้ทุกคนทราบและที่ใกล้ ๆ นั้นก็จะมีกล่องอยู่ใบหนึ่งซึ่งความเกี่ยวข้องของมันก็คือเวลาที่มีประกาศเรื่องต่าง ๆ มานั้นบางครั้งก็จะเป็นการบอกถึงปัญหาที่ทางบริษัทกำลังเผชิญอยู่ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆน้อยๆ จนบางครั้งก็เป็นปัญหาใหญ่ ๆ ซึ่งพนักงานทุกคนสามารถที่จะมาอ่านเรื่องราวต่าง ๆ บนกระดานแล้วเขียนคำแนะนำพร้อมชื่อใส่เข้าไปในกล่องและหากคำแนะนำนั้นสามารถนำไปใช้งานได้จริงผู้เขียนก็จะได้รับรางวัลที่แก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ซะด้วย ซึ่งที่ผ่านมามันได้ผลดีมากเพราะทุกคนช่วยกันทั้งคิดแนวทางต่าง ๆ อีกทั้งเวลาที่มีวิธีการต่าง ๆ ออกมาพนักงานทุกคนก็จะช่วยกันทำตามด้วยเพราะเรารู้ถึงสาเหตุที่จะต้องทำเรื่องเหล่านั้นและผลที่จะตามมาเมื่อได้ลงมือทำอีกด้วย มันช่างเป็นกล่องวิเศษจริง ๆ
เรื่องที่สี่คำขอบคุณ
เราทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งซึ่งมันเป็นธุระกิจเล็ก ๆ ในช่วงฤดูร้อนในปีหนึ่งสินค้าของเราเป็นที่นิยมมากมากถึงขนาดที่ว่าทุกคนต้องละจากหน้าที่ประจำแล้วลงมาชวยกันจัดสินค้าเพื่อให้ทันต่อการจัดส่งซึ่งหลังจากการทำแบบนั้นเกือบเดือนทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทางพวกเราทุกคนได้รับรางวัลจากการช่วยงานครั้งนั้นแต่ที่สำคัญกว่าคือเจ้านายของเราจัดเลี้ยงอาหารเย็นมื้อเล็กๆ ให้กับพนักงานทั้งบริษัทและก่อนที่จะเริ่มงานเขาก็เอาภาพถ่ายตอนที่ทุกคนกำลังลงมือช่วยกันทำงานขึ้นจอพร้อมกับบอกขอบคุณอยู่นาน ซึ่งมันทำให้พวกเรารู้สึกดีมากมากเพราะนั้นแสดงให้เห็นว่าหัวหน้าเห็นความสำคัญในการทำงานของพวกเราจริง ๆ ไม่ใช้แค่การทำงานเพื่อแลกรางวัลเท่านั้น
เรืองที่ห้าลาไปก่อน
เราทำงานที่บริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งก็เหมือนกับบริษัทอื่นๆที่เราจะต้องบินไปตามที่ต่ง ๆ เพื่อติดต่อและนำเสนอสินค้าของเรา แต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมเมื่อปีที่แล้วก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นครอบครัวของเราโทรเข้าไปที่บริษัทเนื่องจากติดต่อเราไม่ได้(เรากำลังอยู่บนเครื่องบิน)เพื่อบอกว่าพ่อของเราป่วยกระทันหัน ทันทีที่เครื่องลงจอดหัวหน้าก็โทรมาหาเราเพื่อบอกเรื่องนี้และทางบริษัทก็จัดการเตรียมตั๋วเครื่องบินสำหรับการเดินทางกลับมาให้เราแล้วซึ่งสิ่งที่หัวหน้าพูดกับเราก็คือ “ลาไปก่อนส่วนเรื่องที่เหลือผมจะจัดการให้เอง” หลังจากนั้นผมก็ทราบว่าหัวหน้าบินไปเพื่อนำเสนอและจัดการงานต่าง ๆ ที่ผมต้องทำในช่วงนั้นด้วยตัวเองทั้งหมดต้องขอบคุณเขาจริงๆ ที่เข้าใจว่าครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกคน
เรื่องที่หกทำให้เป็นเรื่องสนุก
พอเวลาที่เราทำงานและได้นั่งโต๊ะประจำเป็นเวลานานๆ แล้วละก็สิ่งหนึ่งที่เพื่อนเพื่อนน่าจะเป็นเหมือนๆกันกับพวกเรานั้นก็คือเราจะเริ่มมองหาของประดับตกแต่งเล็กๆน้อยๆมาวางซึ่งยิ่งเวลานานขึ้นก็กลายเป็นว่าโต๊ะทำงานมันดูสวยในสายตาเราแต่กลับกลายเป็นดูรกในสายตาคนอื่นๆ ซึ่งที่ออฟฟิสของเราก็เป็นกันทุกโต๊ะเลย มองไปแทบจะมีของวางเต็มไปหมดซึ่งหัวหน้าของเรากลับจัดการเรื่องนี้ได้แบบที่เราคิดไม่ถึงนั้นก็คือจู่ๆ หัวหน้าก็ประกาศว่าจะจัดการประกวดจัดโต๊ะทำงานแบบมินิมอลที่มีรางวัลใหญ่จากหัวหน้าและการลงขันจากพนักงานทุกคนเป็นรางวัลให้กับผู้ชนะ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนเข้าร่วมการประกวดครั้งนี้เรียกว่าเหมือนการเก็บกวาดครั้งใหญ่มากกว่าเพราะทุกโต๊ะดูเรียบร้อยสะอาดตาและมีของใช้เท่าที่จำเป็นจริง ๆ แต่พวกเราก็ทำอย่างสนุกสนานและลุ้นไปกับผลประกาศรางวัลถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รับรางวัลแต่มันก็ทำให้เรารู้ว่าเรื่องที่ดูเหมือนยากแต่ถ้าลองทำให้มันกลายเป็นเรื่องสนุกแล้วละก็มันก็ดูง่ายขึ้นเยอะเลย หัวหน้าของเราช่างคิดจริง ๆ
แล้วเพื่อนเพื่อนละมีความประทับใจกับเรื่องราวของหัวหน้าแบบนี้บ้างไหมคุณสามารถส่งเรื่องราวต่าง ๆ ของคุณมาบอกพวกเราได้ที่เพจของเรานะ
เรียบเรียงโดย เพลินเพลิน